ส่อง 5 เทรนด์ "ธุรกิจกาแฟ" มาแรงครึ่งปีหลัง 2022 เอาไปปรับใช้ยันปีหน้า

หลายปีที่ผ่านมา มีอาหารและเครื่องดื่มใหม่ ๆ เข้ามาเป็นกระแสหรือเมนูโปรดใหม่ ๆ มากมาย แต่ “กาแฟ” ก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มฮิตติดใจคนไทยตลอดกาล ยิ่งล่าสุดเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา LINE MAN พบว่าคนไทยสั่ง “กาแฟ” ทะลุยอดกว่า 6.3 ล้านแก้ว เรียงต่อกันสูงเท่าภูกระดึง 765 ภูเลยทีเดียว

แม้กาแฟจะเป็นเมนูยอดฮิต คนสั่งกินเยอะสักแค่ไหน เจ้าของร้านกาแฟก็คงจะนิ่งนอนใจ ขายกาแฟแค่ในรูปแบบเดิม ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ทุกปีก็คงจะไม่ได้ ยิ่งสำหรับประเทศไทยที่เทรนด์ผู้บริโภคปรับตัวในทุก ๆ ปี และการแข่งขันในหมู่ธุรกิจกาแฟสูงขึ้นกว่าเท่าตัว แถมช่วงปลายปี 2022 นี้ ยังคงเป็นรอยต่อระหว่างการปรับตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ การปรับตัวตามกระแสใหม่ ๆ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการร้านเราได้มากขึ้น

สำหรับเจ้าของร้านกาแฟเอง รวมถึงพี่ ๆ คนไหนที่อยากเปิดร้านกาแฟ วันนี้เราได้รวบรวมเทรนด์ธุรกิจกาแฟที่มาแรงในครึ่งปีหลัง 2022 เป็นไอเดียให้ได้ไปปรับใช้เพื่อยกระดับร้านกาแฟให้ดูใหม่ ติดเทรนด์ และดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อยู่เสมอ มาดูกันเลย

1. กาแฟพร้อมดื่ม Ready-to-Drink (RTD) ยังมาแรงต่อเนื่อง

ไม่มีอะไรตอบโจทย์วิถีชีวิตแสนเร่งรีบของคนไทยได้ดีไปกว่า “กาแฟพร้อมดื่ม” หรือ “Ready-to-Drink (RTD) Coffee” ด้วยจุดเด่นที่เป็นกาแฟหลากชนิดที่ชงพร้อมดื่ม บรรจุใส่ขวดแก้วเป็นอย่างดี แถมหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปหรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ตอบโจทย์ช่วงเวลาที่ผู้คนที่ไม่สะดวกเข้าร้านกาแฟ นอกจากธุรกิจกาแฟเจ้าดังใหญ่ ๆ ที่วางขายกาแฟพร้อมดื่มที่ร้านสะดวกซื้อแล้ว ปัจจุบันเรายังเห็นร้านกาแฟเล็ก ๆ เริ่มทำกาแฟพร้อมดื่มเป็นของตัวเองแล้วนำมาวางขายหน้าร้านหรือช่องทางเดลิเวอรีมากขึ้นแล้วเช่นกัน

2. กาแฟนมทางเลือกสำหรับสายรักสุขภาพ

โดนตกกันถ้วนหน้ากับ “นมทางเลือก” ทางออกใหม่สำหรับคนที่แพ้นมวัวหรือสายเฮลทีที่อยากควบคุมปริมาณแคลอรี และลดปริมาณไขมันในร่างกาย ซึ่งทุกวันนี้ร้านกาแฟได้หันมาเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนนมวัว เป็น นมถั่วเหลือง นมข้าวโอ๊ต นมอัลมอนด์ ได้ หรือเพิ่มเมนู “กาแฟ Plant-based” กันมากขึ้น ซึ่งหลายเสียงให้ความเห็นว่า นอกจากคุณประโยชน์แล้ว การใช้นมทางเลือกยังให้รสสัมผัส และกลิ่นได้หอมหวานกว่ากาแฟจากนมวัวอีกด้วย เมื่อพิจารณาแนวโน้ม และประโยชน์ของพวกมันแล้ว การนำนมทางเลือกหรือนมจากพืชมาใช้ในธุรกิจกาแฟ ถือเป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่เอาไปปรับใช้กันได้อีกยาว ๆ

3. กาแฟสูตรเก๋ ๆ ดึงดูดคนรุ่นใหม่สายชอบลอง

แม้ว่าเกินครึ่งของคอกาแฟส่วนใหญ่ จะมีกาแฟแบบเบลนด์ กาแฟดำจากเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ เป็นแก้วโปรดคู่ใจ รวมถึงเมนูดั้งเดิมอย่าง มอคค่า คาปูชิโน เอสเปรสโซ ลาเต้ต่าง ๆ แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้วงการกาแฟมีเมนูใหม่ ๆ ที่ถูกคิดค้นขึ้นมามากมายและได้รับความนิยมสูงไม่แพ้กัน แถมยังกลายเป็นเมนูขายดีโดยเฉพาะในหมู่กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Millennial ที่มักจะชอบลองอะไรใหม่ ๆ ในทุกกระแสอีกด้วย ตัวอย่างกาแฟสูตรเก๋ ๆ ที่กำลังฮิตในปี 2022 ได้แก่

1. Nitro Cold Brew (ไนโตรโคลด์บรูว์)
2. Dalgona Coffee (กาแฟดัลโกนา)
3. Dirty Coffee (กาแฟเดอร์ตี)
4. Piccolo Latte (พิโคโล ลาเต้)
5. Matcha Latte (ลาเต้ชาเขียว)

4. Coffee Subscription ระบบสมาชิกรับกาแฟรายเดือน

โมเดลธุรกิจแบบ Subscription หรือระบบสมาชิกกำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในวงการธุรกิจออนไลน์สตรีมมิ่ง (Online Streaming) และธุรกิจอีคอมเมิร์ช (E-commerce) ต่าง ๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน โมเดลธุรกิจ Subscription ก็ได้เข้ามามีอิทธิพลในวงการกาแฟแล้วเช่นกัน แม้ทุกวันนี้ประเทศไทยบ้านเรายังไม่ค่อยมีระบบ Coffee Subscription ให้เห็นมากนัก แต่ในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านหรือฝั่งประเทศตะวันตกก็ทยอยนำระบบ Coffee Subscription มาใช้มากขึ้น โดยให้ลูกค้าจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนตามแพ็กเกจต่าง ๆ แล้วเจ้าของร้านก็มีหน้าที่ส่งเมล็ดกาแฟ หรือกาแฟคราฟต์ไปให้ที่บ้านทุกเดือน รวมถึงมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้ลูกค้าอีกด้วย ถือเป็นไอเดียธุรกิจที่เหมาะกับสายร้านกาแฟ Specialty ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคอกาแฟ สายคราฟต์ต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

5. นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในร้าน

ตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 เข้ามา ธุรกิจร้านกาแฟต้องเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปแบบการขาย การลดการสัมผัส รวมถึงใส่ใจในความสะอาดมากขึ้น แถมยังมีกระแส "สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)" เข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร้านกาแฟต้องปรับใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวกลางการสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น นับตั้งแต่สร้างเมนูอิเล็กทรอนิกส์ (E-Menu) ให้ลูกค้าสแกน QR Code สั่งอาหารเครื่องดื่มแทนเล่มเมนูกระดาษ การชำระเงินผ่าน Mobile Banking แทนเงินสด หรือการจัดการหน้าและหลังร้านในระบบ POS แทนการจดสมุดบันทึกแบบเดิม ๆ 

และเพื่อการปรับตัวของเจ้าของร้านกาแฟต่อเทรนด์ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างยั่งยืน ขอแนะนำ Wongnai POS มือขวาร้านอาหารที่เชื่อมต่อ LINE MAN เดลิเวอรีอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันเจ้าของร้านกาแฟมากมาย ได้ไว้ใจให้ Wongnai POS มาทำหน้าที่เป็นมือขวาร้าน ดูแลทั้งระบบหน้าร้าน-หลังร้าน และเสริมการให้บริการให้ไร้ข้อผิดพลาดมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ร้านกาแฟเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกกระแสความฮิต ด้วยทุกฟีเจอร์เพื่อตอบโจทย์ทุกงานในร้านกาแฟอย่างครบวงจร ทั้งช่องทางหน้าร้านและเดลิเวอรี ไม่ว่าจะเป็น

1. เชื่อมต่อกับ Wongnai และ LINE MAN เต็มรูปแบบ โดย Wongnai POS สามารถรับออร์เดอร์ LINE MAN ให้ร้านได้อัตโนมัติ ไม่ต้องนั่งกดเองเหมือนในโทรศัพท์ แถมยังเรียงคิวและพรินต์ใบเสร็จให้ ไม่ปนกับคิวออร์เดอร์หน้าร้าน
2. การรับออร์เดอร์ (Order Management) สำหรับทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี ซึ่งระบบใช้เมนูแบบภาพเป็นหลัก ทำให้เจ้าของร้านรับออร์เดอร์ลูกค้าได้ไวขึ้น ประหยัดเวลา แถมยังปรับรายละเอียดเมนูและหน้าร้านใน LINE MAN เดลิเวอรีผ่านตัวเครื่องได้อีกด้วย
3. บริหารสต๊อก (Inventory Management) ช่วยเจ้าของร้านจัดการสต๊อกวัตถุดิบ และคุมต้นทุนให้อยู่หมัด ด้วยระบบที่บันทึกทุกข้อมูลสต๊อก อุปกรณ์ เอาไว้แล้วนำมาผูกสูตรกับเมนูอาหารต่าง ๆ เพื่ออัปเดตปริมาณวัตถุดิบคงเหลือเมื่อมีออร์เดอร์เข้าได้ และยังคอยแจ้งเตือนเมื่อวัตถุดิบใกล้หมดอีกด้วย
4. รายงานยอดขาย (Reports) มีผลประกอบการแบบละเอียด อัปเดตให้แบบเรียลไทม์ตลอดรอบการขาย สามารถเช็กได้ทั้งยอดขาย ช่วงเวลาขายดี-ไม่ดี เมนูขายดี-ไม่ดี และทุกชุดข้อมูลสำคัญที่เจ้าของร้านนำไปวิเคราะห์ผลเพื่อต่อยอดกลยุทธ์การขายในอนาคตได้
5. ชำระเงินผ่าน QR Code (QR Code Payment) เชื่อมต่อพร้อมเพย์เจ้าของร้านให้สร้างระบบชำระเงินไร้เงินสด (Cashless payment) อย่างสมบูรณ์แบบ ลดการสัมผัส ลดปัญหาใช้เงินสดแล้วเงินทอนหายได้อย่างดีเยี่ยม
6. เข้าถึงข้อมูลได้ทุกเวลา ข้อมูลของร้าน ไม่ว่าจะเป็นสต๊อก ยอดขาย เมนู และรายละเอียดหลังบ้านต่าง ๆ จะถูกบันทึกไว้ในระบบออนไลน์ ซึ่งเจ้าของร้านสามารถเข้าไปตรวจสอบ และปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ผ่านอินเทอร์เน็ต

สนใจสมัครและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Wongnai POS คลิกที่นี่ได้เลย!