วิธีรับมือช่วงพีคไทม์ ป้องกันออเดอร์ล้นจนทำไม่ทัน

ช่วงเวลาที่ร้านขายดีที่สุด มักเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดเช่นกัน มาดูแนวทางจัดการช่วงลูกค้าแน่นร้านให้สามารถทำงานเป็นระบบ ออเดอร์ไม่ตกหล่น และลูกค้าประทับใจ

สำหรับเจ้าของร้านอาหารหรือร้านเดลิเวอรี ช่วงเวลาที่เรียกว่า “พีคไทม์” (Peak Time) คือชั่วโมงที่ร้านขายดีที่สุด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะสั่งอาหารในเวลาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะมื้อเที่ยงและมื้อเย็น แต่ในขณะเดียวกัน “ช่วงเวลาทอง” นี้ก็อาจกลายเป็น “ช่วงเวลาพัง” ได้ง่าย ๆ ถ้าร้านไม่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรับออเดอร์

หลายร้านต้องเผชิญกับปัญหาออเดอร์ล้นจนทำไม่ทัน บางร้านถึงขั้นรีวิวตกหรือเสียลูกค้าประจำไปเลย ทั้งที่จริง ๆ แล้วปัญหานี้ป้องกันได้ ถ้ารู้วิธีวางระบบให้ร้านพร้อมก่อนถึงช่วงเวลาเร่งด่วน

4 เทคนิคนี้ จะช่วยให้จัดการร้านอย่างมืออาชีพมากขึ้น เพื่อให้ร้านสามารถ “รอดทุกออเดอร์” แม้ในช่วงพีคไทม์

1. เตรียมวัตถุดิบล่วงหน้า

ช่วงพีคไทม์คือช่วงที่ “ไม่มีเวลาให้เตรียมตัว” เพราะออเดอร์จะเข้ามามากมาย ทั้งจากลูกค้าหน้าร้านและแอปฯ เดลิเวอรี การเตรียมของล่วงหน้าจึงเป็นหัวใจหลักของการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงพีคไทม์

สิ่งที่ควรทำล่วงหน้าอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาพีคไทม์ :

  • หั่นผัก หั่นเนื้อ หรือเตรียมวัตถุดิบที่ใช้บ่อยไว้เป็นชุด ๆ
  • แบ่งซอสหรือเครื่องปรุงใส่ถุงและขวดให้พร้อมหยิบ
  • เตรียมข้าวหุงร้อน แพ็กกล่อง หรือจัดจานไว้ล่วงหน้า
  • ตรวจสต็อกของสำคัญ เช่น ไข่ ข้าว น้ำมัน ซองบรรจุอาหาร

การเตรียมพร้อมก่อนเวลา 1–2 ชั่วโมงนี้ อาจช่วยประหยัดเวลาในช่วงพีคได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

2. แบ่งหน้าในทีมให้ชัดเจน

ในช่วงเวลาที่ร้านขายดีที่สุด ออเดอร์จะเข้ามาพร้อมกันจากทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี เพื่อให้ร้านทำงานได้อย่างเป็นระบบและลดโอกาสผิดพลาด ควรจัดตำแหน่งให้ทีมงานแต่ละคนมีหน้าที่ชัดเจน เช่น คนรับออเดอร์ คนทำอาหาร และคนแพ็กของ นอกจากนี้ เจ้าของร้านยังควรวางแผนจัดจำนวนพนักงานให้เพียงพอกับช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะ โดยอาจเพิ่มแรงเสริมเฉพาะช่วงเที่ยงหรือเย็น เพื่อให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่รับออเดอร์จนถึงจัดส่ง ไหลลื่น ไม่ติดขัด

ร้านที่แบ่งหน้าที่ชัดเจนและคำนวณกำลังคนได้เหมาะสม คือร้านที่สามารถสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้แม้ในเวลาที่ลูกค้าเยอะที่สุด

 3. จดบันทึกหลังช่วงพีคไทม์

หลังจากช่วงพีคผ่านไป อย่าลืม “ถอดบทเรียน” จากผลในการทำงานครั้งนั้น ๆ เพราะข้อมูลจากแต่ละวันจะช่วยให้ร้านทำงานดีขึ้นในวันถัดไป

ลองสังเกตและจดบันทึกข้อมูล ตัวอย่างเช่น

  • เมนูไหนใช้เวลาทำนานที่สุด?
  • ของชนิดไหนหมดก่อนเวลา?
  • ขั้นตอนไหนติดขัดหรือช้าที่สุด?
  • ออเดอร์ไหนผิดพลาด ทำไมถึงพลาด?

ถ้าร้านบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ทุกวัน จะเห็นแนวโน้มชัดขึ้น เช่น
วัตถุดิบ B หมดเร็ว → สั่งวัตถุดิบเพิ่มในรอบถัดไป
ทีมครัวช้าในบางช่วง → แบ่งเวลาจัดเตรียมใหม่ให้เหมาะสม

4. ใช้ Wongnai POS ช่วยจัดการร้าน

ในช่วงที่ร้านมีลูกค้าสั่งอาหารจำนวนมาก การมีระบบที่ช่วยจัดการออเดอร์อย่างเป็นระเบียบ จะช่วยลดความสับสนในครัวและป้องกันออเดอร์ตกหล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ POS ที่เชื่อมต่อกับครัวแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การทำงานต่อเนื่องไม่สะดุด นอกจากนี้ ระบบชำระเงินที่รวดเร็วและทันสมัย ยังช่วยลดขั้นตอนหน้าร้าน ทำให้จัดคิวลูกค้าได้ไว ทั้งพนักงานทำงานง่ายขึ้น และลูกค้าก็ประทับใจกับบริการที่รวดเร็วและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

ช่วงพีคไทม์ถือเป็นทั้งโอกาสทองและความท้าทายของร้านอาหาร เพราะแม้จะเป็นช่วงที่ลูกค้าสั่งเยอะที่สุดและสร้างรายได้สูงสุด แต่ก็อาจเป็นช่วงที่จัดการออเดอร์ได้ยากที่สุดเช่นกัน หากร้านไม่เตรียมตัวให้ดีอาจเกิดปัญหาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารล่าช้า ออเดอร์ตกหล่น หรือการจัดคิวไม่เป็นระบบ

แต่ถ้าร้านมีการวางแผนล่วงหน้า เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ปรับทีมให้เหมาะสมกับปริมาณงาน และมีระบบช่วยจัดการออเดอร์ที่เป็นระเบียบ ก็จะสามารถรับมือกับยอดสั่งจำนวนมากได้อย่างลื่นไหล เมื่อร้านเตรียมตัวรับมือกับช่วงพีคไทม์ได้ ไม่ว่าออเดอร์จะเยอะแค่ไหน ร้านก็บริหารจัดการได้อย่างมั่นใจ และสามารถเปลี่ยนช่วงที่วุ่นวายที่สุดให้กลายเป็นช่วงทำรายได้สูงสุดได้จริง

สนใจเริ่มต้นเปิดร้านบน LINE MAN 👉🏻 คลิกเลย

📲 ติดตามข่าวสารและเทคนิคเพิ่มยอดขาย ที่พ่อค้าแม่ค้า LINE MAN ไม่ควรพลาด ได้ที่กระดิ่งแจ้งเตือนบนแอปฯ Wongnai Merchant App 👉🏻 คลิกที่นี่

บทความแนะนำเพิ่มเติม