“ชาไทยไม่ใส่สี” เทรนด์ใหม่ที่ร้านเครื่องดื่มไม่ควรมองข้าม!

ชาไทยสีส้มเริ่มถูกตั้งคำถาม เทรนด์ “ไม่ใส่สี” กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ร้านเครื่องดื่มต้องจับตา

เมื่อผู้บริโภคไม่อยากได้แค่ความอร่อย...แต่ต้องการความปลอดภัย และใส่ใจจากในแก้วแรก

ชาไทยอาจเป็นเมนูคลาสสิกที่ขายดีไม่มีตก แต่วันนี้ “ชาไทยแบบเดิม” กำลังถูกตั้งคำถามอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของ สีส้มสดใส ที่เราคุ้นตากันมานาน ว่าจริง ๆ แล้วมาจาก “ใบชา” หรือมาจาก “สีสังเคราะห์”?

ประเด็นนี้ยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อ สองแบรนด์ใหญ่ อย่าง Cafe Amazon และ ชาตรามือ ต่างเปิดตัวเมนู ชาไทยไม่ใส่สี ออกมาแทบจะพร้อมกันในช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา สร้างแรงกระเพื่อมให้ร้านเครื่องดื่มต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า...

“ชาไทยที่ขายอยู่วันนี้ สะท้อนสิ่งที่ลูกค้ารุ่นใหม่ต้องการแล้วหรือยัง?”

ชาไทยไม่ใส่สี คืออะไร?

“ชาไทยไม่ใส่สี” คือชาไทยที่ไม่ผ่านการแต่งเติมด้วยสีสังเคราะห์อย่าง Sunset Yellow FCF ซึ่งเคยเป็นส่วนผสมหลักในใบชาไทยแบบดั้งเดิมเพื่อให้ได้สีส้มจัดจ้านตามภาพจำ

ผู้ผลิตแนวใหม่หันมาใช้ ใบชาคุณภาพสูง ที่ผ่านการหมักตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้รสชาติของใบชาที่แท้จริง และมีโทนสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลาเต้เมื่อนำไปผสมกับนม จุดขายคือความ “ธรรมชาติ 100%” และ “ปลอดภัยต่อสุขภาพ” โดยไม่ลดทอนความอร่อย

ทำไมแบรนด์ดังถึงแห่เปิดศึก “ชาไทยไม่ใส่สี”?

  • Cafe Amazon เปิดตัว “Premium Thai Tea” ตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 68 ใช้ใบชาอัสสัมคุณภาพดีจากจ.น่าน เบลนด์พิเศษโดย Tea Master และไม่เติมสีแต่งกลิ่นใด ๆ เลย ราคาแก้วละ 60 บาท ถือเป็นแบรนด์แรกในไทยที่ลุยตลาดนี้เต็มรูปแบบ

  • ชาตรามือ แบรนด์ชาไทยเจ้าดัง เตรียมเปิดตัวเมนู “ชาไทยไม่มีสี” ในเดือน ก.ค. 68 โดยยังคงรสชาติต้นตำรับไว้ครบ แต่ตัดสีสังเคราะห์ออกทั้งหมด

ทั้งสองแบรนด์กำลังส่งสัญญาณว่า เทรนด์นี้ “ไม่ใช่แค่แฟชั่นชั่วคราว” แต่คือจุดเริ่มต้นของ มาตรฐานใหม่ ที่ร้านชาต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

และไม่ใช่แค่ Cafe Amazon หรือชาตรามือเท่านั้น หลายแบรนด์ชาในไทยก็เริ่มขยับมาก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็น KOI The ที่ใช้ใบชานำเข้าคุณภาพสูงโดยไม่แต่งสีมาโดยตลอด หรือ BEARHOUSE ที่วางตำแหน่งเป็นแบรนด์เครื่องดื่มใส่ใจสุขภาพ และเน้นความโปร่งใสในการสื่อสารวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่ากระแส “ชาไทยไม่ใส่สี” กำลังกลายเป็นจุดร่วมของแบรนด์ที่ต้องการสร้างความแตกต่างด้วยความจริงใจ และตอบรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง

แล้วเทรนด์นี้จะ “ไปต่อ” หรือ “มาแป๊บเดียว”?

จากข้อมูลของ LINE MAN Wongnai ยอดสั่งซื้อชาไทยผ่านเดลิเวอรีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565–2567) เติบโต 4 เท่า จาก 100,000 แก้ว สู่ 400,000 แก้ว

ที่มา :LINE MAN จับตาเทรนด์ “ชาไทย Specialty” ร้านเปิดใหม่โต 205% ใน 3 ปีก้าวสู่สนามเครื่องดื่ม Specialty เต็มตัว

ขณะเดียวกัน รายงานจาก เครือข่ายชา–กาแฟประเทศไทย ยังยืนยันว่า “ชาเพื่อสุขภาพ” คือหนึ่งใน 3 เมกะเทรนด์ระดับโลกที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2564

เทรนด์นี้จึงไม่ได้แค่ตอบโจทย์ “กระแสรักสุขภาพ” เท่านั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับแบรนด์ที่กล้าสร้างสรรค์เมนูปลอดสารเติมแต่ง และแสดงความใส่ใจอย่างแท้จริง

“ชาไทยไม่ใส่สี” ไม่ใช่แค่เมนูใหม่ แต่คือมาตรฐานใหม่ของวงการ

การเปิดตัว “ชาไทยไม่ใส่สี” จากทั้ง Cafe Amazon และชาตรามือ ไม่ใช่แค่การขยายเมนู แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน

ผู้บริโภควันนี้ให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่อยู่ในแก้ว” มากกว่าภาพลักษณ์หรือรสชาติภายนอก ความปลอดภัย โปร่งใส และความใส่ใจในวัตถุดิบกลายเป็นเกณฑ์ตัดสินใจที่ทรงพลัง

ในวันที่เมนูคลาสสิกอย่างชาไทยกำลังถูกตีความใหม่
ร้านใดที่พร้อมปรับตัว พัฒนา และสื่อสารอย่างจริงใจ
จะไม่ได้แค่ขายดี —
แต่จะกลายเป็น “แบรนด์ที่อยู่ในใจลูกค้า” อย่างยั่งยืน

เพิ่มเมนูชาไทยเตรียมขายที่นี่เลย
คลิก

ที่มาของข่าว :

บทความแนะนำเพิ่มเติม