การใช้งานขั้นสูง
คู่มือเพิ่มยอดขายบน LINE MANคู่มือใช้โฆษณา LINE MAN

ขายดีแต่ทำไมไม่มีกำไร? แก้ได้ด้วยสูตรลับ 30/30/30/10

        
        ในธุรกิจร้านอาหารที่มีความผันผวนสูง การที่ร้าน "ขายดี" ไม่ได้การันตีว่าจะ "เหลือเงิน" เสมอไป เพราะถ้าคุณบริหารรายได้ไม่เป็น อาจจะยิ่งขาดทุน การมีโครงสร้างทางการเงินที่ชัดเจนเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ช่วยไม่ให้ธุรกิจหลงทาง กฎ 30/30/30/10 คือสูตรอมตะที่ร้านอาหารทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน ในการจัดสรรรายได้ทุกบาทที่เข้ามา เพื่อให้มั่นใจว่าจะเหลือเป็นกำไรในตอนท้าย


กฎนี้เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ในการแบ่งประเภทค่าใช้จ่ายหลักของร้านอาหารเมื่อเทียบกับรายได้รวม

1. 30% สำหรับต้นทุน “สินค้า” (Cost of Goods Sold - CoGS)

นี่คือก้อนแรกที่ต้องหักออกจากยอดขาย คือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับตัว "อาหาร และเครื่องดื่ม" โดยตรง

  • ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
    • วัตถุดิบอาหาร เนื้อสัตว์ ผัก เครื่องปรุง ข้าว แป้ง ฯลฯ
    • เครื่องดื่ม ทั้งแบบไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำอัดลม, กาแฟ) และแอลกอฮอล์ (เบียร์, ไวน์, เหล้า) ซึ่งปกติเครื่องดื่มจะมีต้นทุนต่ำกว่าอาหาร (กำไรสูงกว่า) จึงช่วยถัวเฉลี่ยตัวเลขรวมให้ลงมาอยู่ที่ 30% ได้
    • บรรจุภัณฑ์ กล่อง, แก้ว, ถุงพลาสติก, ช้อนส้อมสำหรับเดลิเวอรี่ (บางตำราอาจรวมในค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง แต่ปัจจุบันนิยมรวมใน COGS เพราะผันแปรตามยอดขายโดยตรง)
  • สิ่งที่ต้องระวัง

2. 30%  สำหรับต้นทุน “แรงงาน” 

นี่คือค่าใช้จ่ายในการจ้าง "คน" ทั้งหมดเพื่อให้ร้านดำเนินไปได้ ไม่ใช่แค่เงินเดือนพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น

  • ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
    • เงินเดือน และค่าจ้างของพนักงานหน้าร้าน ในครัว และผู้จัดการร้าน
    • สวัสดิการ และภาษี ประกันสังคม โบนัส ค่าล่วงเวลา อาหารพนักงาน ชุดยูนิฟอร์ม ค่าตรวจสุขภาพ
    • ค่าจ้างเทรนนิ่ง ต้นทุนแฝงในการสอนงานพนักงานใหม่
  • สิ่งที่ต้องระวัง
    • อย่าลืมรวมค่าแรงของ "เจ้าของร้าน" (ถ้าคุณลงมาทำงานเอง) เพื่อให้เห็นต้นทุนที่แท้จริง
    • ยอด 30% นี้ควรยืดหยุ่นได้ ถ้ายอดขายน้อยในบางวัน ต้องลดจำนวนชั่วโมงพนักงานพาร์ทไทม์ลงทันทีเพื่อรักษาสัดส่วนนี้ไว้

3. 30% สำหรับค่าใช้จ่ายใน “การดำเนินงาน” 

คือก้อนค่าใช้จ่ายที่ทำให้ร้านเปิดประตูรับลูกค้าได้ นอกเหนือจากค่าอาหาร และค่าแรงงาน

  • ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
    • ค่าเช่าที่ รวมค่าเช่า ภาษีที่ดิน/โรงเรือน ค่าส่วนกลาง (ค่าเช่าเพียว ๆ ไม่ควรเกิน 10%)
    • สาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส อินเทอร์เน็ต
    • การตลาด ค่าโฆษณา Facebook/Google ค่าทำโปรโมชั่น ค่าจ้าง Influencer
    • การซ่อมบำรุง ซ่อมแอร์ ซ่อมตู้เย็น ทาสีร้านใหม่ ล้างบ่อดักไขมัน
    • ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ  ค่า License โปรแกรม POS ค่าลิขสิทธิ์เพลง ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
  • สิ่งที่ต้องระวัง
    • หลายรายการเป็น Fixed Cost (จ่ายเท่าเดิมไม่ว่าจะขายดี หรือไม่) เช่น ค่าเช่า ดังนั้นถ้ายอดขายตก สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของก้อนนี้จะพุ่งสูงขึ้นทันที เป็นจุดที่อันตรายที่สุด

4. 10% สำหรับ “กำไรสุทธิ”

นี่คือเป้าหมายสุดท้าย เงินที่เหลืออยู่จริงหลังจากหักทุกอย่างแล้ว

  • ความหมายของ 10%
    • หากกำไรของคือ 10% ของรายได้ ถือว่าร้านอาหารของคุณอยู่ในเกณฑ์ "ร้านอาหารสุขภาพดี" ตามมาตรฐานสากล
    • หากทำกำไรได้ 15-20% ของรายได้ ถือว่า "ยอดเยี่ยม" (มักพบในร้านที่บริหารเก่งมากๆ หรือร้านที่มีสเกลใหญ่)
    • หากกำไรต่ำกว่า 5% ของรายได้ ถือว่าอยู่ใน "โซนอันตราย" เพราะหากเกิดวิกฤต (เช่น ราคาวัตถุดิบขึ้น  หรือ ค่าไฟขึ้น) ร้านจะขาดทุนทันที
  • กำไรนี้เอาไปทำอะไร?
    • คืนทุนให้ผู้ลงทุน 
    • เก็บเป็นเงินสดสำรอง 
    • ใช้ขยายสาขา หรือปรับปรุงร้านในอนาคต

เมื่อ 30/30/30/10 ทำงานร่วมกับ โฆษณา LINE MAN

การทำโฆษณาไม่ใช่การจ่ายทิ้ง แต่คือการ "ลงทุนเพื่อลดสัดส่วนต้นทุนคงที่" หากคุณใช้ กฎเหล็ก 30/30/30/10 เป็นฐาน คุณจะพบว่าการทำโฆษณาบน LINE MAN คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการ "บีบ" ต้นทุนให้ต่ำลง และ "ดัน" กำไรให้สูงขึ้น

  • ลดสัดส่วนค่าเช่า และค่าแรง เมื่อโฆษณาช่วยดันยอดขายให้พุ่งขึ้น (เช่น จากวันละ 10,000 เป็น 20,000 บาท) ในขณะที่ค่าเช่า และค่าแรงคุณยังเท่าเดิม สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของต้นทุนเหล่านี้จะลดลงทันที
  • การมีงบโฆษณาที่ล็อคไว้แน่นอน (ไม่เกินสัดส่วน 30% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) จะช่วยให้คุณไม่หน้ามืดอัดโฆษณาจนเข้าเนื้อตัวเอง
  • การเลือกโฆษณาที่เหมาะสมกับร้านคุณ นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดสำหรับการทำธุรกิจอาหารในยุคปัจจุบัน

เพื่อให้การบริหารงบโฆษณาในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน(30%) แม่นยำที่สุด LINE MAN มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นสายคำนวณเอง หรือสายเน้นความสะดวก 

ฟีเจอร์การคุมงบโฆษณาของ LINE MAN

การใช้กฎ 30/30/30/10 จะสมบูรณ์แบบได้ คุณต้องคุมงบไม่ให้บานปลาย ซึ่งฟีเจอร์การตั้งงบประมาณของ LINE MAN ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ

  1. สายคุมเข้ม (Custom Budget) เหมาะสำหรับร้านที่เคร่งครัดเรื่องตัวเลขตามกฎ 30/30/30/10 ช่วยให้คุณคุมงบไม่ให้บานปลาย และวางแผนกระแสเงินสดรายเดือนได้อย่างแม่นยำ ไม่เข้าเนื้อแน่นอน
  2. สายเน้นผลลัพธ์ (Recommended Budget) เหมาะสำหรับร้านที่ต้องการความรวดเร็ว และประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ AI ช่วยหา "จุดคุ้มค่าที่สุด" เพื่อดันร้านขึ้นหน้าแรก และแย่งชิงออเดอร์ในพื้นที่ ประหยัดเวลาไม่ต้องลองผิดลองถูกเอง

ไม่ว่าคุณจะเลือกตั้งงบเองเพื่อความอุ่นใจ หรือให้ระบบแนะนำเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด เป้าหมายสุดท้ายคือการดันยอดขายให้พุ่ง เพื่อบีบสัดส่วนต้นทุนคงที่ให้เล็กลง และล็อกกำไรสุทธิ 10% ไว้ในกระเป๋าให้ได้นั่นเอง

การบริหารร้านอาหารในยุคปัจจุบันไม่มีคำว่า "เดา" อีกต่อไป การยึดถือ กฎ 30/30/30/10 อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณมองเห็น "รูรั่ว" ของค่าใช้จ่าย และรู้ทันทีว่าควรปรับจูนส่วนไหนเพื่อให้ร้านยังมีกำไรในสภาวะที่ราคาวัตถุดิบขยับตัวสูงขึ้น


จำไว้ว่า การลงทุนกับโฆษณาบน LINE MAN ไม่ใช่รายจ่ายที่สูญเปล่า แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขยายฐานยอดขาย เพื่อไปลดสัดส่วนต้นทุนคงที่ และเมื่อคุณใช้ฟีเจอร์การคุมงบประมาณอัจฉริยะควบคู่ไปด้วย คุณจะสามารถสร้างยอดขายให้พุ่งทะยานได้อย่างอุ่นใจ โดยที่กำไรสุทธิ 10% ยังคงถูกล็อกไว้ในกระเป๋าอย่างปลอดภัย


เริ่มบริหารด้วยตัวเลข แล้วจบด้วยผลกำไรที่จับต้องได้จริง ถึงเวลาแล้วที่คุณจะใช้ตัวช่วยมืออาชีพเพื่อสร้างความสำเร็จให้ร้านของคุณตั้งแต่วันนี้!


โฆษณา LINE MAN ทำง่ายใน 3 คลิก ดูวิธีทำที่นี่

เริ่มต้นสร้างโฆษณา LINE MAN บนแอปฯ Wongnai Merchant App (WMA) คลิกที่นี่